วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

15 เรื่องกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม




           การกินเป็นเรื่องที่ละเลยไมได้ ใครที่เคยกินอาหารแบบลืมนึกถึงสุขภาพ กินตามใจปาก รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการกินเหล่านี้ จะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพระยะยาว หากคุณไม่อยากให้สุขภาพ ร่างกายเสื่อมก่อนเวลา เรามีวิธีการกินให้สุขภาพดีและไม่ควรมองข้ามในชีวิตประจำวันมาฝากกัน

            1. กินผัก ผลไม้ เป็นหลัก อาหารจำพวก ธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง


           นอกจากนี้ใยอาหารซึ่ง มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระจึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวารและลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้


           2. กินทีละนิด แต่บ่อยๆ ทำให้กระเพาะไม่ต้องเหนื่อยมากจึงช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการอาหารไม่ย่อย และทำให้ระดับของฮอร์โมนที่คอยควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่แกว่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่รู้สึกง่วงและไม่นึกอยากกินจุบกิน นอกจากนี้การกินอาหารทีละมากๆ ยังทำให้กระเพาะของคุณขยายออกอีกด้วย


           3. เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี ไขมันไม่ให้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมัน ที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลา ฯลฯ


           ส่วนไขมันชนิดเลว คือ ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือดน้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ เป็นต้น


           4. อย่าปล่อยให้หิวเกินไป การปล่อยให้ตนเองหิวมากๆ อาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงโรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อจะช่วยได้มาก


           5. เลี่ยงเค็ม อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรสน้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง ฯลฯ จึงเป็นไปได้ว่าในแต่ละวันเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำ ความดันเลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้


            6. กินน้ำตาลอย่างพอดี อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านการย่อยจะได้กลูโคสซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ขณะเดียวกันหากมีมากเกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้โรคเบาหวานได้ง่าย


           7. เลิกกินไปดูไป การกินอาหารไปดูหนังไป ทำให้เรากินอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวแม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้ว หรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่กินอาหารเพลิดเพลินเจริญอาหารมากปกติอีกด้วย


           8. ไม่รีบดื่มน้ำ การดื่มน้ำปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโพแทสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติ ก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ


           9. งดชา กาแฟบ้าง เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนไม่เหมาะผู้ที่มีอาการปวดหลังเพราะกาเฟอีนลดหลั่ง สารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้น ซึ่งเอ็นดอร์ฟินมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะ


           10. ผลไม้ 1 ชิ้น หลังอาหาร กินแอปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การกินสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซม์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น


           11. กินอาหารอายุสั้น ทำให้เราอายุยืน (ผัก ผลไม้สด) เพราะอาหารไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีสารพิษตกค้างและการกินอาหารอายุยืน ทำให้เราอายุสั้น (อาหารแปรรูปทุกชนิดอาหารหมักดองต่างๆ) อาหารเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปในหลากหลายรูปแบบ หรือใส่สารกันบูดเพื่อยืดอายุอาหารให้ยาวนานขึ้น แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะสะสม และตกค้างเป็นสารพิษสะสมอันตรายต่อร่างกาย


           12. กินช้าๆ ไม่ต้องรีบ การเร่งกินอาหารทำให้เอนไซม์สำหรับย่อยอาหารในน้ำลาย และในกระเพาะไม่มีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ อาจจะทำให้กล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารหยุดทำงาน และระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่


           13. กินเนื้อสัตว์ให้ย่อยง่าย จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระบุว่า ถ้ามื้อนั้นกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรกินผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมด ต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ จนเกิดกรดในกระเพาะตามมาภายหลัง


           14. กินมื้อเช้าบำรุงสมอง มื้อเช้าเป็นอาหารมื้อแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดของทุกๆ วัน เพราะร่างกายไม่มีสารอาหารมานานหลายชั่วโมง การไม่รับประทานอาหารเข้าบ่อยครั้ง อาจจะส่งผลให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะขาดอาหารและลดอัตราการเผาผลาญแคลอรีลง เราจึงควรเติมพลังยามเช้าด้วย อาหารที่มีคุณค่าเพื่อช่วยรักษาสมดุลคงระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และกระตุ้นอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสตลอดทั้งวัน


           15. ลดการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไปควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่าง เช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

           เมื่อให้ความสำคัญกับเรื่องกินแล้ว ก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายที่เหมาะสมสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงหรือปล่อยวางจากความเครียด เท่านี้คุณก็จะพร้อมรับทุกสถานการณ์ในทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                               
                                                 ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ นิตยสาร Modern Mom

8 อาหารย่อยยากสุดๆ



1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม             เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ๆ ตอนเช้ากระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับกรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ

2. ช็อกโกแลต             ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้

3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ             จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4. มันบดและไอศกรีม             หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ ไงคะ


5. นักเก็ตไก่             ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมันๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเหียน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริงๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนักเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ

6. หัวหอมดิบ             หัวหอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสารอาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7. ถั่ว             เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนานๆ หรือไม่ก็กินบ่อยๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ

8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล             Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจากTLCthai.com

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์


อาหารเหล่านี้ช่วยล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร)

หน่อไม้ฝรั่ง
             นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน



บีทรูท
             เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด

เบอร์รี่
             บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมาก นำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้




บร็อกโคลี
             มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่า หรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัด หรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

กะหล่ำปลี
             กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก

มะนาว (lemons)
             สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุต ดื่มเพิ่มความสดชื่น



ลินสีด (Linseed) หรือเมล็ดแฟล็กซ์
             นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษ ให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบด แล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด

พริก
             อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริกและมะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดี และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย

มะละกอ และสับปะรด
             มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีน และกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน หรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาว ทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง

ผักสลัดน้ำ หรือวอเตอร์เครส
             เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครสเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอม หรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากHealth Plus

5 อาหารชั้นเลิศจากทั่วโลกเพื่อสุขภาพ


  เพราะทุกวันนี้คุณผู้หญิงหลายๆ ท่านหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้นๆ เนื่องจาก Trend ทุกวันนี้นิยมเรื่อง Healthy Living กันอย่างมาก ซึ่งนับเป็นข้อดีที่ทำให้คุณผู้หญิงหันมาบริโภคอาหารจากธรรมชาติที่เป็น ประโยชน์มากขึ้น วีซ่าขอนำเมนูอาหารชั้นเลิศจากทั่วโลกมาฝากกัน มาดูกันสิว่าเทรนด์ถั่วโลกเค้านิยมบริโภคอาหารสุขภาพใดกัน ซึ่งหากคุณผู้หญิงรับประทานก็จะมีสุขภาพที่ดีแน่นอนค่ะ


อาหารชนิดที่ 1 เริ่มแรกเลยที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างประเทศญึ่ปุ่น              ซึ่งอาหารสุขภาพชั้นเลิศของญี่ปุ่นก็คือ ถั่วเหลือง ซึ่งถั่วเหลืองนับว่าเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมค่ะ เพราะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพและไขมันที่ดี นอกจากนี้ในถั่วเหลืองยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมถึงไขมันโอเมกา 3 ที่ไม่มีคอเลสเตอรอลอีกด้วย ซึ่งในญี่ปุ่นใช้ถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารนานาชนิด หรือพูดได้ว่าแทบจะทุกชนิดทีเดียวตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง น้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า “มิโซะ” ซึ่งเป็นอาหารที่นิยมมากในญี่ปุ่นค่ะ

              คุณประโยชน์ของถั่วเหลือง : มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และทานแล้วยังมีผลดีต่อหัวใจอีกต่างหากค่ะ

อาหารชั้นเลิศชนิดที่ 2 มาจากเกาหลี              มาดูกันเลยว่ามีอาหารชั้นเลิศอะไรที่ทำให้คนเกาหลีมีสุขภาพดีกัน  สำหรับประเทศเกาหลี อาหารชั้นดีขึ้นชื่อต้องยกให้ กิมจิเลย กิมจิก็คือผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศทานแล้วจะรูเสึกให้รสชาติเผ็ด ซึ่งคนเกาหลีมักทานกิมจิเป็นเครื่องเคียงทานคุ๋กับอาหารหลักทุกมื้อ สำหรับใครที่ไปเที่ยวเกาหลีมาแล้วจะรู้ว่าเค้าที่นั่นเค้าทานกิมจิกันทุกมื้อจริงๆ ค่ะ ซึ่งนับเป็นอาหารสุดฮอตและเป็นอาหารประจำชาติของคนเกาหลีเลยค่ะซึ่งจากผลการสำรวจพบว่าที่เกาหลีนั้น 1 คนจะรับประทานกิมจิกันถึง 20 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว

              คุณประโยชน์ของกิมจิ : อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี มีแคลอรีต่ำ กินเล่นเพลินๆ ยังได้นอกจากนี้ยังมีข้อดีที่สุดยอดอีกคือ มีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหารของคุณผู้หญิงด้วย

อาหารชุั้นเลิศจากประเทศที่ 3 คืออาหารชั้นเลิศจากอินเดีย              ได้แก่ ถั่วเลนทิล เป็นถั่วกลมๆ แบนๆ มีหลากสีทั้งน้ำตาล เขียว แดง และเหลืองซึ่งมีประโยชน์มาก คนอินเดียนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือแป้งขนมปังในทุกๆ มื้อ นอกจากนี้ที่อินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

              คุณประโยชน์ของถั่วเลนทิล : ให้โปรตีนและไฟเบอร์ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายแถมถั่วเลนทิลยังมีธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ 2 เท่าตัวทีเดียว และยังมียังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกต่างหาก ซึ่งโฟเลตนั้นมีความสำคัญต่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอดได้ค่ะ

อาหารชั้นเลิศอย่างที่ 4 ได้แก่อาหารชั้นเลิศจากสเปน              ซึ่งได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกขหรือที่เรียกว่า “โอลีฟ” (olive) มีประโยชน์มากค่ะ ซึ่งชาวสเปนมักนำมาปรุงอาหาร และถือเป็นวัฒนธรรมที่ทำสืบต่อกันมาจนเกิดเป็นค่านิยมเลยก็ว่าได้นอกจากนี้สเปนยังเป็นประเทศที่มีผลิตน้ำมันมะกอกมากกว่า 40% ของโลกอีกด้วย

              คุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอก : มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง มีไขมันชั้นดี มีสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยคุมระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือด และในทางกลับกันยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี ที่เรียกว่า “เอชดีแอล”ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้น้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกายของคุณผู้หญิงและช่วยลดความ เสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็งอีกต่างหาก

อาหารชั้นเลิศอย่างที่ 5 ได้แก่อาหารชั้นเลิศจากประเทศกรีซ              ซึ่งนั่นก็คือ โยเกิร์ต โยเกิร์ตหรือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์จนกระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนม เปลี่ยนเป็นกรดแลคติก ที่ข้นเป็นครีม โยเกิร์ตมีรสเปรี้ยว ซึ่งในโยเกิร์ตมีโปรตีนและแคลเซียมสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงมาก ค่ะคนในประเทศกรีซนิยมบริโภคกันมาเป็นเวลายาวนานแล้วกว่าพันปี โอ้ว! นับว่านานมากทีเดียวค่ะ มาดููคุณประโยชน์ที่ทำให้ชาวกรีซติดอกติดใจในโยเกิร์ตกันเลย

              คุณประโยชน์ของโยเกิร์ตคือ : ช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย มีแลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน และลดความดัน และช่วยป้องกันมะเร็ง แถมยังเป็นอาหารที่คุณผู้หญิงทั้งหลายสามารถทานเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยเนื่องจากไมีมีน้ำตาล


ขอขอบคุณข้อมูลจากLADYVISA.com

แนะนำ 5 ชาสมุนไพรดีต่อสุขภาพ



             อะไรจะเหมาะกับสายลมเย็นๆ ของฤดูหนาวมากกว่าชาอุ่นๆ สักแก้ว แต่ตอนนี้ให้เก็บชาธรรมดาไปก่อน และมาลองชาสมุนไพรหอมๆ ที่ดีต่อสุขภาพกันเถอะ

ชาเปปเปอร์มินต์

             เพียงแค่กลิ่นหอม ๆ เย็นชื่นใจของชามินต์ ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้แล้ว ขณะเดียวกันมันช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้นอนหลับง่าย แถมยังทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างปกติ เนื่องจากมินต์มีส่วนช่วยให้ไขมันในระบบย่อยอาหารสลายตัว ป้องกันไม่ให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร และด้วยความที่มันดีต่อกระเพาะของเรา มันจึงเหมาะสำหรับคนที่เมารถเมาเรือ นอกจากนี้ มันมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอ่อน ๆ จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ชาตะไคร้
             เราใช้ตะไคร้ในการทำกับข้าวมานานแล้ว และชาตะไคร้นั้นก็เป็นหนึ่งในตำรับโบราณ ที่ใช้รักษาอาการแน่นหน้าอก ไอ หรือหวัด หากเหยาะพริกไทยลงไปสักนิด อาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนและคลื่นเหียน แถมเคยมีการศึกษาชี้ว่าการดื่มชาตะไคร้ทุกวัน จะช่วยรักษาผิวหนังให้ปราศจากสิวด้วย แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์เด็ดขาด และไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน

ชาโสม
             ไม่ว่าจะเป็นโสมเอเชียหรือโสมอเมริกาต่างก็มีสารอาหารมากมาย ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ และวิตามินบีชนิดต่าง ๆ ซึ่งทาง University of Maryland Medical Center ชี้ว่าโสมเป็นสมุนไพรที่เชื่อกันว่า จะช่วยให้เราสู้กับความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทสอง เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันลดคอเลสเตอรอลเลว (LDL) และสาร Ginsenosides ซึ่งพบในโสมนั้นยังมีคุณสมบัติ ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย

ชาผลกุหลาบ
             หลายคนอาจจะรู้จักผลกุหลาบในชื่อของโรสฮิป ซึ่งมักจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ชาผลกุหลาบก็มีสรรพคุณดี ๆ มากมาย เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี ซึ่งสำคัญต่อการสมานแผล เสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุเดียวกันนี้ มันจึงช่วยลดอาการข้ออักเสบด้วย ท้ายสุดนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Planta Medica ในปี 1992 ยังชี้ว่าชาผลกุหลาบอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะก็ตาม

ชาใบหม่อน
             มีอีกชื่อเก๋ๆ ว่า ชามัลเบอร์รี่ ชาใบหม่อนก็เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ในฐานะเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากญี่ปุ่น ที่อาจจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ เนื่องจากเชื่อกันว่ามันสามารถลดการดูดซึมน้ำตาล โดยใบหม่อนนั้นมีทั้งแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงร่างกายเราได้ในแง่ของกระดูก ผมเล็บ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นกุญแจสำคัญให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

Tip
             อย่าเพิ่งทิ้งถุงชา ให้นำถุงชาที่ใช้แล้วแช่น้ำและนำไปแช่แข็ง แล้วนำมาประคบเวลาแมลงกัดต่อยหรือมีแผลเล็ก ๆ และยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่ดวงตาได้ดีนัก

                                       ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของนิตยสาร Lisa