วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

กินอย่างไรให้ยิ้มสวย



            เราทุกคนทราบดีว่าสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยสร้างร่างกายที่แข็งแรง รวมไปถึงฟันและเหงือก แต่ไม่ใช่แค่น้ำตาลหรือของหวานที่ไม่ดีกับฟัน

            อาหารมีประโยชน์บางอย่างก็อาจทำให้ฟันผุกร่อนได้ ในขณะที่อาหารบางประเภทจะช่วยป้องกันโรคเหงือกและฟัน แม้แต่ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นได้ด้วยซ้ำ


กินคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารเท่านั้น
            ขนมปังโฮลวีตหรือมันฝรั่งทอดกรอบก็อาจไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าไร อาหารจำพวกแป้งมักจะติดเกาะอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันหรือบริเวณเหงือก จากนั้นก็จะแตกตัวเป็นน้ำตาล กลายเป็นสารอาหารให้แบคทีเรีย และทำให้เกิดคราบซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคเหงือกและอาการฟันผุ
            American Dietetic Association จึงแนะนำให้คุณกินคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารใหญ่ๆ ดีกว่า เพราะในเวลานั้นเราจะหลั่งน้ำลายออกมามาก เศษอาหารจึงถูกชะล้างไปโดยง่ายดาย

ดื่มชา
            ทั้งชาดำและชาขาวมีสารโพลีเฟอนอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากพืชที่ช่วยป้องกันไม่ให้คราบหินปูนมาเกาะที่ฟัน จึงช่วยลดโอกาสเกิดฟันผุหรือโรคเหงือก นอกจากนี้ มันยังมีสามารถลดกลิ่นปากด้วยคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของกลิ่น แถมชาส่วนใหญ่ยังมีฟลูออไรด์ที่ได้มาจากใบชา จึงมีประโยชน์ปกป้องเคลือบฟันด้วยเหมือนกัน

กินวิตามินซีให้เพียงพอ
            วิตามินซีเปรียบเสมือนปูนที่เชื่อมเซลล์ต่างๆ เข้าด้วยกัน มันจำเป็นต่อผิวเช่นเดียวกับเนื้อเยื่อของเหงือก จากการศึกษาของ State University of New York University เปิดเผยว่า คนที่กินวิตามินซีน้อยกว่า 60 มิลลิกรัมต่อวัน จะมีโอกาสเป็นโรคเหงือกสูงกว่าคนที่กิน 180 มิลลิกรัมหรือมากกว่า ถึง 25%
            Try : พริกหวาน บร็อกโคลี่ สตรอวเบอร์รี่ กะหล่ำปลีต้ม มะละกอ ผักขม ส้ม กีวี ผักคะน้า แคนตาลูป หน่อไม้ฝรั่ง

กินแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน
            ประมาณ 99% ของแคลเซียมในร่างกายจะอยู่ในกระดูกและฟัน แคลเซียมจะใช่วยให้กระดูกอัลวีโอลาร์ในขากรรไกรแข็งแรง ซึ่งจะทำให้ฟันติดตรึงอยู่กับที่เป็นระดับ และช่วยลดโอกาสเป็นโรคเหงือก ปริมาณที่แนะนำคือ 1,000 มิลลิกรัม ต่อวัน สำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี และ 1,200 มิลลิกรัม สำหรับคนที่อายุมากกว่า 50 ปี
            Try : โยเกิร์ต นม ชีส ปลาแซลมอน ข้าวโอ๊ต เต้าหู้ มัสตาร์ด อัลมอนด์ ขนมปังโฮลวีต


สิ่งเล็กๆ ที่ช่วยคุณได้


            ไซลิทอล – สารแทนน้ำตาลที่พบได้ทั่วไปในหมากฝรั่ง มีการศึกษามากมายที่บ่งบอกว่ามันช่วยป้องกันฟันผุ
            แครนเบอร์รี่ และเห็ดหอม – อาหารทั้งสองอย่างมีสารเคมีที่ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดกับฟัน
            ผักกรอบๆ อย่างเช่น แครอท – จะช่วยชะเอาเศษอาหารและคราบหินปูนออกมา

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากLisa

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

5 วิธีกินล้างพิษให้ตัวเบา




                พฤติกรรมการกินเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดพิษในร่างกาย การเลือกกินแต่อาหารที่ชอบและถูกปาก จึงทำให้อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ รวมทั้งวัตถุปรุงอาหารจำนวนมาก ตกค้างอยู่ในร่างกาย และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสารพิษในระบบย่อยอาหาร ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารพิษเกิดขึ้น เราจึงต้องดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ในการ้างพิษที่ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรง และทำได้ไม่ยากเลย

1. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาว 
                ลองเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมกับน้ำมะนาวครึ่งซีกและพริกป่นอีกหยิบมือหนึ่ง หรือจะใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยด้วย ก็ได้ถ้าคุณชอบ รสเปรี้ยวของมะนาวจะกระตุ้นน้ำย่อยและการปล่อยน้ำดีจากตับ ส่วนพริกป่นก็กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารและเร่งอัตราการเผาผลาญ รวมทั้งช่วยขับสารพิษจากเซลล์ไขมัน ถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนของร่างกายในวันใหม่อย่างเหมาะสม

2. จดบันทึกสิ่งที่กินในแต่ละวัน 
                หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้ากับการทำงานที่ผ่านมา ไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเก่า โรคภัยก็คอยรุมร้าเข้าทำนอง 3 วันดี 4 วันอย่างนั้นแล้ว ก็ให้เริ่มต้นมองหาสิ่งที่สัมพันธ์กับอาการโดยแบ่งเวลาสักวันละ 2-3 นาทีมาบันทึกกิจกรรมประจำวันรวมถึงอาการกิน ว่าคุณกินอะไรไปบ้างทุก ๆ 2 สัปดาห์ และทบทวนดูว่าอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณเสี่ยงหรือกระตุ้นให้คุณเกิดโรคต่าง ๆ และช่วยยับยั้งการกำเริบของโรคได้ อีกทั้งยัง เป็นคู่มือที่ทำให้คุณได้รู้ด้วยว่า ร่างกายของคุณ สารอาหารตัวไหนมีประโยชน์ เพื่อจะได้หามากินและดูแลสุขภาพตัวเองได้ถูกวิธีมากยิ่งขึ้น

3. ดื่มน้ำผลไม้ล้างพิษ
                การดื่มน้ำผักและผลไม้สามารถล้างพิษสะสมในร่างกาย เพิ่มพลังงานเติมความสดชื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีนี้คุณต้องดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้แบบแยกกากเพียงอย่างเดียว ห้ามผสมน้ำตาลหรือเกลือ แต่อนุญาตให้ผสมน้ำเปล่าได้ในกรณีที่รสชาติเข้มข้นเกินไป ในช่วงนี้ต้องงดอาหารชนิดอื่นในช่วง 1-5 วัน(แล้วแต่ว่าจะเลือกทำกี่วัน) วิธีนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย แต่ไม่แนะนำให้ทำติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดอาการอ่อนเพลียและอ่อนแอ เนื่องจากขาดโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตได้

4. กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง 
                มีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าการกินเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก เบคอน และกุนเชียง หมูยอ แหนม ฯลฯ มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะสารประกอบตัวร้ายที่ชื่อว่า เอมีน อาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในเยื่อบุทางเดินอาหาร อันเป็นขั้นแรกของการก่อให้เกิดมะเร็ง กองทุนวิจัยด้านมะเร็งของโลกรายงานว่า การกินเนื้อสัตว์แปรรูปมากกว่าอาทิตย์ละ 5 ครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงควรกินเนื้อแตงไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ และกินเนื้อสัตว์แปรรูปแค่นานๆ ครั้งก็พอ

5. ล้างผักผลไม้ทุกครั้งก่อนกิน 
                ผักผลไม้มีประโยชน์แต่ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวพืชผักก่อนเวลาสลายตัวของยาฆ่าแมลง ทำให้ร่างกายสะสมสารตกค้างเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะคนที่กินผักหรือผลไม้ซ้ำๆ กัน จะได้รับสารเคมีตัวเดิมเพิ่มปริมารมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งเชื้อโรคและพยาธิชนิดต่างๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ การกินผักและผลไม้ให้หลากหลาย ควบคู่ไปการล้างผักผลไม้ให้สะอาด ก็ช่วยให้เราได้กินอาหารที่ปลอดภัยและลดสารพิษตกค้างในร่างกายได้

                                                      ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของนิตยสาร Modern Mom

8 อาหารทำให้ "ง่วงนอนตลอดเวลา"


คุณเคยส่งสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอด เวลาไม่ว่าจะ ทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตุของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ



               1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

               2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

               3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

               4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็กๆ หนึ่งชิ้น

               5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วง เหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามาก จึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

               6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไป ยังลำไส้ ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะ ทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

               7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวานๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

               8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกาย ได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา

ขอขอบคุณข้อมูลจากLisa

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

15 เรื่องกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม




           การกินเป็นเรื่องที่ละเลยไมได้ ใครที่เคยกินอาหารแบบลืมนึกถึงสุขภาพ กินตามใจปาก รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการกินเหล่านี้ จะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพระยะยาว หากคุณไม่อยากให้สุขภาพ ร่างกายเสื่อมก่อนเวลา เรามีวิธีการกินให้สุขภาพดีและไม่ควรมองข้ามในชีวิตประจำวันมาฝากกัน

            1. กินผัก ผลไม้ เป็นหลัก อาหารจำพวก ธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง


           นอกจากนี้ใยอาหารซึ่ง มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระจึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวารและลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้


           2. กินทีละนิด แต่บ่อยๆ ทำให้กระเพาะไม่ต้องเหนื่อยมากจึงช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการอาหารไม่ย่อย และทำให้ระดับของฮอร์โมนที่คอยควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่แกว่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่รู้สึกง่วงและไม่นึกอยากกินจุบกิน นอกจากนี้การกินอาหารทีละมากๆ ยังทำให้กระเพาะของคุณขยายออกอีกด้วย


           3. เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี ไขมันไม่ให้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมัน ที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลา ฯลฯ


           ส่วนไขมันชนิดเลว คือ ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือดน้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ เป็นต้น


           4. อย่าปล่อยให้หิวเกินไป การปล่อยให้ตนเองหิวมากๆ อาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงโรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อจะช่วยได้มาก


           5. เลี่ยงเค็ม อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรสน้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง ฯลฯ จึงเป็นไปได้ว่าในแต่ละวันเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำ ความดันเลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้


            6. กินน้ำตาลอย่างพอดี อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านการย่อยจะได้กลูโคสซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ขณะเดียวกันหากมีมากเกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้โรคเบาหวานได้ง่าย


           7. เลิกกินไปดูไป การกินอาหารไปดูหนังไป ทำให้เรากินอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวแม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้ว หรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่กินอาหารเพลิดเพลินเจริญอาหารมากปกติอีกด้วย


           8. ไม่รีบดื่มน้ำ การดื่มน้ำปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโพแทสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติ ก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ


           9. งดชา กาแฟบ้าง เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนไม่เหมาะผู้ที่มีอาการปวดหลังเพราะกาเฟอีนลดหลั่ง สารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้น ซึ่งเอ็นดอร์ฟินมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะ


           10. ผลไม้ 1 ชิ้น หลังอาหาร กินแอปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การกินสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซม์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น


           11. กินอาหารอายุสั้น ทำให้เราอายุยืน (ผัก ผลไม้สด) เพราะอาหารไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีสารพิษตกค้างและการกินอาหารอายุยืน ทำให้เราอายุสั้น (อาหารแปรรูปทุกชนิดอาหารหมักดองต่างๆ) อาหารเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปในหลากหลายรูปแบบ หรือใส่สารกันบูดเพื่อยืดอายุอาหารให้ยาวนานขึ้น แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะสะสม และตกค้างเป็นสารพิษสะสมอันตรายต่อร่างกาย


           12. กินช้าๆ ไม่ต้องรีบ การเร่งกินอาหารทำให้เอนไซม์สำหรับย่อยอาหารในน้ำลาย และในกระเพาะไม่มีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ อาจจะทำให้กล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารหยุดทำงาน และระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่


           13. กินเนื้อสัตว์ให้ย่อยง่าย จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระบุว่า ถ้ามื้อนั้นกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรกินผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมด ต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ จนเกิดกรดในกระเพาะตามมาภายหลัง


           14. กินมื้อเช้าบำรุงสมอง มื้อเช้าเป็นอาหารมื้อแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดของทุกๆ วัน เพราะร่างกายไม่มีสารอาหารมานานหลายชั่วโมง การไม่รับประทานอาหารเข้าบ่อยครั้ง อาจจะส่งผลให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะขาดอาหารและลดอัตราการเผาผลาญแคลอรีลง เราจึงควรเติมพลังยามเช้าด้วย อาหารที่มีคุณค่าเพื่อช่วยรักษาสมดุลคงระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และกระตุ้นอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสตลอดทั้งวัน


           15. ลดการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไปควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่าง เช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

           เมื่อให้ความสำคัญกับเรื่องกินแล้ว ก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายที่เหมาะสมสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงหรือปล่อยวางจากความเครียด เท่านี้คุณก็จะพร้อมรับทุกสถานการณ์ในทุกวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                               
                                                 ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ นิตยสาร Modern Mom

8 อาหารย่อยยากสุดๆ



1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม             เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ๆ ตอนเช้ากระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับกรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ

2. ช็อกโกแลต             ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้

3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ             จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4. มันบดและไอศกรีม             หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ ไงคะ


5. นักเก็ตไก่             ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมันๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเหียน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริงๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนักเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ

6. หัวหอมดิบ             หัวหอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสารอาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7. ถั่ว             เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนานๆ หรือไม่ก็กินบ่อยๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ

8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล             Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจากTLCthai.com

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์


อาหารเหล่านี้ช่วยล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร)

หน่อไม้ฝรั่ง
             นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน



บีทรูท
             เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด

เบอร์รี่
             บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมาก นำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้




บร็อกโคลี
             มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่า หรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัด หรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

กะหล่ำปลี
             กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก

มะนาว (lemons)
             สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุต ดื่มเพิ่มความสดชื่น



ลินสีด (Linseed) หรือเมล็ดแฟล็กซ์
             นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษ ให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบด แล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด

พริก
             อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริกและมะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดี และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย

มะละกอ และสับปะรด
             มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีน และกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน หรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาว ทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง

ผักสลัดน้ำ หรือวอเตอร์เครส
             เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครสเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอม หรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากHealth Plus

5 อาหารชั้นเลิศจากทั่วโลกเพื่อสุขภาพ


  เพราะทุกวันนี้คุณผู้หญิงหลายๆ ท่านหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้นๆ เนื่องจาก Trend ทุกวันนี้นิยมเรื่อง Healthy Living กันอย่างมาก ซึ่งนับเป็นข้อดีที่ทำให้คุณผู้หญิงหันมาบริโภคอาหารจากธรรมชาติที่เป็น ประโยชน์มากขึ้น วีซ่าขอนำเมนูอาหารชั้นเลิศจากทั่วโลกมาฝากกัน มาดูกันสิว่าเทรนด์ถั่วโลกเค้านิยมบริโภคอาหารสุขภาพใดกัน ซึ่งหากคุณผู้หญิงรับประทานก็จะมีสุขภาพที่ดีแน่นอนค่ะ


อาหารชนิดที่ 1 เริ่มแรกเลยที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างประเทศญึ่ปุ่น              ซึ่งอาหารสุขภาพชั้นเลิศของญี่ปุ่นก็คือ ถั่วเหลือง ซึ่งถั่วเหลืองนับว่าเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมค่ะ เพราะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพและไขมันที่ดี นอกจากนี้ในถั่วเหลืองยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมถึงไขมันโอเมกา 3 ที่ไม่มีคอเลสเตอรอลอีกด้วย ซึ่งในญี่ปุ่นใช้ถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารนานาชนิด หรือพูดได้ว่าแทบจะทุกชนิดทีเดียวตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง น้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า “มิโซะ” ซึ่งเป็นอาหารที่นิยมมากในญี่ปุ่นค่ะ

              คุณประโยชน์ของถั่วเหลือง : มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และทานแล้วยังมีผลดีต่อหัวใจอีกต่างหากค่ะ

อาหารชั้นเลิศชนิดที่ 2 มาจากเกาหลี              มาดูกันเลยว่ามีอาหารชั้นเลิศอะไรที่ทำให้คนเกาหลีมีสุขภาพดีกัน  สำหรับประเทศเกาหลี อาหารชั้นดีขึ้นชื่อต้องยกให้ กิมจิเลย กิมจิก็คือผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศทานแล้วจะรูเสึกให้รสชาติเผ็ด ซึ่งคนเกาหลีมักทานกิมจิเป็นเครื่องเคียงทานคุ๋กับอาหารหลักทุกมื้อ สำหรับใครที่ไปเที่ยวเกาหลีมาแล้วจะรู้ว่าเค้าที่นั่นเค้าทานกิมจิกันทุกมื้อจริงๆ ค่ะ ซึ่งนับเป็นอาหารสุดฮอตและเป็นอาหารประจำชาติของคนเกาหลีเลยค่ะซึ่งจากผลการสำรวจพบว่าที่เกาหลีนั้น 1 คนจะรับประทานกิมจิกันถึง 20 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว

              คุณประโยชน์ของกิมจิ : อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี มีแคลอรีต่ำ กินเล่นเพลินๆ ยังได้นอกจากนี้ยังมีข้อดีที่สุดยอดอีกคือ มีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหารของคุณผู้หญิงด้วย

อาหารชุั้นเลิศจากประเทศที่ 3 คืออาหารชั้นเลิศจากอินเดีย              ได้แก่ ถั่วเลนทิล เป็นถั่วกลมๆ แบนๆ มีหลากสีทั้งน้ำตาล เขียว แดง และเหลืองซึ่งมีประโยชน์มาก คนอินเดียนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือแป้งขนมปังในทุกๆ มื้อ นอกจากนี้ที่อินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

              คุณประโยชน์ของถั่วเลนทิล : ให้โปรตีนและไฟเบอร์ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายแถมถั่วเลนทิลยังมีธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ 2 เท่าตัวทีเดียว และยังมียังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกต่างหาก ซึ่งโฟเลตนั้นมีความสำคัญต่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอดได้ค่ะ

อาหารชั้นเลิศอย่างที่ 4 ได้แก่อาหารชั้นเลิศจากสเปน              ซึ่งได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกขหรือที่เรียกว่า “โอลีฟ” (olive) มีประโยชน์มากค่ะ ซึ่งชาวสเปนมักนำมาปรุงอาหาร และถือเป็นวัฒนธรรมที่ทำสืบต่อกันมาจนเกิดเป็นค่านิยมเลยก็ว่าได้นอกจากนี้สเปนยังเป็นประเทศที่มีผลิตน้ำมันมะกอกมากกว่า 40% ของโลกอีกด้วย

              คุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอก : มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง มีไขมันชั้นดี มีสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยคุมระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือด และในทางกลับกันยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี ที่เรียกว่า “เอชดีแอล”ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้น้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกายของคุณผู้หญิงและช่วยลดความ เสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็งอีกต่างหาก

อาหารชั้นเลิศอย่างที่ 5 ได้แก่อาหารชั้นเลิศจากประเทศกรีซ              ซึ่งนั่นก็คือ โยเกิร์ต โยเกิร์ตหรือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์จนกระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนม เปลี่ยนเป็นกรดแลคติก ที่ข้นเป็นครีม โยเกิร์ตมีรสเปรี้ยว ซึ่งในโยเกิร์ตมีโปรตีนและแคลเซียมสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงมาก ค่ะคนในประเทศกรีซนิยมบริโภคกันมาเป็นเวลายาวนานแล้วกว่าพันปี โอ้ว! นับว่านานมากทีเดียวค่ะ มาดููคุณประโยชน์ที่ทำให้ชาวกรีซติดอกติดใจในโยเกิร์ตกันเลย

              คุณประโยชน์ของโยเกิร์ตคือ : ช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย มีแลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน และลดความดัน และช่วยป้องกันมะเร็ง แถมยังเป็นอาหารที่คุณผู้หญิงทั้งหลายสามารถทานเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยเนื่องจากไมีมีน้ำตาล


ขอขอบคุณข้อมูลจากLADYVISA.com